จากเส้นทางครูสู่สายงานธุรกิจ : 当老师 vs 公司上班有什么体验?

จากเส้นทางครูสู่สายงานธุรกิจ

                สวัสดีทุกคนอีกเช่นเคยนะคะมาพบกันในวันนี้ เฟินก็มีเรื่องราวที่อยากจะเล่าและอยากจะแบ่งปันให้ทุกคนได้อ่านอีกเช่นเคยค่า อย่างที่ใครหลายคนทราบนะคะว่าตอนนี้เฟินทำงานที่บริษัทมาสักพักนึงแล้วแต่เฟินก็หาโอกาสที่จะได้เล่าประสบการณ์ไม่ได้สักที ในวันนี้เฟินพร้อมที่จะแชร์ประสบการณ์และมุมมองต่าง ๆ จากการทำงานที่สามารถแบ่งปันให้ทุกท่านได้อ่านกัน หากมีข้อบกพร่องหรือมีมุมมองที่ขัดต่อท่านผู้อ่านออกไปประการใด เฟินต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยนะคะ ซึ่งเรื่องราวต่อไปนี้ที่จะเล่า ก็จะเป็นข้อคิดที่ได้จากการทำงานตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่าครึ่งปี ในบริษัทเล็กๆ ที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าของการทำงาน ทำให้เฟินได้เรียนรู้ ปรับตัว รวมถึงเปลี่ยนการมองอะไรหลายๆ อย่าง ในทุกวันของการทำงานเหมือนการเปิดอ่านหนังสือทีละบทๆ ตอกย้ำความเข้าใจในตัวเองถึงเหตุผลที่ตัดสินใจแบบนี้ และรู้จักโลกภายนอกมากขึ้น ซึ่งหนังสือที่เฟินเลือกอ่านอีกเล่มนี้ก็มีเรื่องราวที่ให้ได้น่าขบคิดและสร้างความเข้าใจใหม่ๆ ทั้งกับตัวเอง กับงาน และสังคมภายนอก ดังที่จะเล่าต่อไปนี้ค่ะ

ทำไมถึงไม่เป็นครู ?

คำถามนี้เป็นคำถามที่เฟินเองได้ยินจนชินชาตั้งแต่เรียนจบมา และรอเรียกบรรจุจนกระทั่งตัดสินใจที่จะมาทำงานที่นี่ อันที่จริงจะว่าไปเฟินก็ตอบได้ไม่สุดว่า “ทำไมถึงไม่เป็นครู” ที่เฟินตัดสินใจอย่างนี้ไม่ใช่ว่าเฟินไม่อยากเป็นครูนะคะ และก็เป็นคำถามที่ตอบยากมากว่าเพราะอะไรล่ะ มันต้องมีเหตุผลสิ แต่สำหรับเฟินแล้วนั้นก็ไม่ใช่ว่า “ไม่อยากเป็นครู” เลยสักทีเดียว ตอนที่จะตัดสินใจมันก็รู้สึกตัดสินใจยากมาก เพราะเราเรียนมาตั้งห้าปี เราตั้งใจเรียนกับสายนี้ ได้รับโอกาสในการพัฒนาตัวเองในหลายๆด้านไม่น้อย อีกทั้งทุกคนก็ตั้งความหวังที่เราว่าเราสามารถนำความรู้ไปช่วยเหลือพัฒนาเด็กๆ ได้ ตอนที่เฟินฝึกสอนเฟินมีความสุขมากค่ะ ที่ได้เจอสิ่งแวดล้อมที่ดี ครูพี่เลี้ยงและเพื่อนร่วมงานที่อบอุ่น
ในใจอีกด้านนึงแล้วระหว่างทางที่เรากว่าจะเรียนจบมา เราไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับการสอนหรืออยู่ในวงการนี้เพียงอย่างเดียว เฟินมีโอกาสรู้จักกับคนมากมายหลากหลายวงการจากการสอนพิเศษรวมถึงการไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ เช่น ผู้บริหารระดับสูงของหัวเหว่ย นักธุรกิจ อาจารย์ นักศึกษาชาวจีน ศัลยแพทย์ นักวิจัย รวมถึงผู้คนอีกหลากหลายอาชีพ การรู้จักของเราไม่ใช่ว่ารู้จักว่า เขาชื่ออะไร เขาทำอะไร แต่เป็นการรู้จักในฐานะที่เราได้ร่วมงานกันตามโอกาสต่างๆ อย่างสนิทสนม แม้ว่าเฟินเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลย แต่เฟินก็มีอย่างหนึ่งคือ ความเป็นมิตรค่ะ นั่นทำให้เฟินได้รับมุมมองจากคนเหล่านั้นกลับมาอย่างมากมาย จึงได้เห็นอะไรที่เหมาะสมและท้าทายกับความเป็นตัวเอง เราต้องพัฒนาตัวเองให้ได้มากกว่านี้ นั่นจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เฟินรู้ว่าเราตัวเล็กมากแค่ไหน ทำให้เรารู้ว่าเราสามารถที่จะมองเห็นตัวเองไปได้ในทิศทางที่เราไม่เคยมองเห็น เฟินจึงบอกกับตัวเองว่าทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ตัวเองไม่ท้อและไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเองที่สำคัญคือ “ไม่เสียใจภายหลัง” หากในวันนี้เฟินเป็นครู เรื่องราวที่เฟินเคยประสบพบเจอคงจะสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียนได้มากเลยทีเดียว

เฟินพบว่าตัวเองเป็นคนที่ “เคร่ง” และ “เครียด” กับตัวเองมากและยังหวังที่อยากจะให้นักเรียนของเราได้ในสิ่งที่เราสอน อยากเห็นเขามีอนาคตที่ดีและสดใส ยอมรับเลยค่ะว่าระบบราชการเป็นระบบที่เคร่งและมีแบบแผน เพราะทำงานเพื่ออุดมการณ์ของการพัฒนาประเทศชาติ และเป็นเงินเดือนที่มาจากการบริหารจัดการจากภาษีอากร แต่ว่ามุมมองของเราอาจจะไปคนละทางกับสิ่งที่เป็นจริง เป็นครูไม่ได้สวยงามอย่างที่ใครๆวาดฝันเอาไว้นะคะ “สละตน” สละที่อยากจะเป็นในสิ่งที่ตัวเองจะเป็น เป็นแบบอย่างที่เพียบพร้อมต่อผู้อื่น ทั้งวาจา ความคิด และการกระทำ ทั้งเวลาในและนอกงาน อาชีพครูเป็นแล้วเป็นเลย เราต้องสละเวลาพักผ่อนเพื่อเตรียมการสอน เตรียมการประเมิน เป็นครูในความคิดของเราคือเป็นครูเราต้องเป็นแบบอย่างต่อผู้อื่น ดังนั้นการจะเป็นครูที่ดีถ้าไม่มีใจที่รัก ศรัทธา และทุ่มเทนั้นก็ยากที่จะเป็นครูที่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงมาเป็นครูได้

เฟินจึงกลัวว่าเฟินจะเครียดเกินไปกับคำว่า “ครูต้องเป็นผู้เสียสละ” เฟินกลัวว่าจะทำมันออกมาได้ไม่ดีจนกระทั่งกลายเป็นคนที่ยอมแพ้ให้กับอะไรๆ ไปเสีย จริงๆไม่ใช่ไม่อยากเป็น แต่เฟินมองว่าตัวเองยังไม่พร้อม เด็กไทยในทุกวันนี้เขาเรียนรู้ได้เร็วและไปไกลกว่าที่เราคิดไว้มาก จนต้องกลับมาถามตัวเองว่า “เราพร้อมที่จะเป็นครูจริงๆหรือ” นอกจากประสบการณ์ที่ได้เจอมา เราพร้อมแค่ไหนที่จะสอนและไปตามกับโลกของเขาที่ไปไกลกว่าเรา อีกอย่างคือความคิดที่ชอบทำอะไรที่เราสามารถควบคุมมันได้ อยากให้ตัวเองควบคุมงาน มากกว่าให้งานหรือระบบมาควบคุมตัวเอง จึงคิดว่าถ้าเป็นไปได้อยากลองงานอื่นดูเผื่อจะทำให้มุมมองและความรู้สึกที่จะไม่ยอมแพ้ต่อการเป็นครูลุกโชนขึ้นมา เผื่อจะลบล้างความคิดที่มีต่อตัวเองแบบนั้นไป

สิ่งที่เฟินไม่คาดถึงก็คือพอมาทำงานจริงๆแล้ว กลับไม่อยากที่จะลาออกจากงานที่กำลังทำอยู่ เมื่อจิตใจที่ท้าทายมาเจอกับงานที่ทำแล้วรู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นที่เฟินคิดมันคือเรื่องจริง และเราไม่พร้อมที่จะไปสอนคนอื่นเลยด้วยซ้ำ หลายคนอาจจะบอกว่าเสียดายที่เฟินไม่เป็นครู แต่ก็มีหลายคนบอกเฟินมานะคะว่า เฟินไม่เหมาะกับการเป็นครูเลย ทั้งญาติเฟิน ครอบครัวของเฟิน และเจ้านายของเฟินพอทุกคนได้รู้จักกับเราจริงๆ แล้วก็บอกเหมือนกันว่า แกไม่เป็นครูอะดีแล้ว เพราะเฟินไม่สามารถสละเวลาของตัวเองและเจียดเวลาไปทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำได้ เฟินยังมีความคิดแบบเด็กคือ อยากทำนั่นนุ่นนี่ที่ตัวเองอยากทำ นั่นก็คือ การสอนพิเศษออนไลน์ การเรียนหนังสือเพิ่มเติม การอ่านหนังสือ รวมถึงการเขียนเว็บไซต์ เฟินก็ชั่งใจเลือก กอปรกับเกรงใจเจ้านายหากต้องออกกลางคัน จนสุดท้ายเฟินจึงสละสิทธ์สัมภาษณ์ครูคืนถิ่นไปและหันหน้าให้กับเส้นทางอีกสายหนึ่งแบบนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง

สรุปแล้ว การเลือกที่จะไม่เป็นครูก็ไม่ได้มาจากความตั้งใจที่อยากจะไม่เป็น แต่มาจากจังหวะที่เกรงใจนายและการที่เราได้ชั่งใจถึงความไม่เหมาะสมของตัวเองกับสายงานที่ต้องอยู่ในระบบ อีกทั้งพิจารณาตัวเองว่าเรายังไม่พร้อมที่จะรับแรงกดดันต่างๆ แล้วนำตัวเองเข้าไปสู่การเป็นครูในระบบงานราชการค่ะ ทั้งนี้ต้องขอโทษกับใครหลายๆ คนที่ทำให้ผิดหวังในตัวเราด้วยนะคะ ที่สุดท้ายแล้วต้องเลือกเช่นนี้

มุมมองของคนอื่นที่มีต่อ “คนที่ไม่รับข้าราชการ”
สำหรับคนที่ไม่รับข้าราชการอย่างเฟิน ก็จะถูกตั้งคำถามอยู่เสมอ  และทุกคนต่างบอกว่า น่าเสียดายนะ เธอคิดผิดเสียแล้ว ทำไมถึงคิดเช่นนี้ … คำถามเหล่านี้ถูกตั้งขึ้นมาอยู่เสมอเพราะงานข้าราชการนั้นคืองานที่มีเกียรติและเป็นงานที่มีความมั่นคงต่อชีวิตของตนเองและครอบครัว บางคนบอกว่าเป็นข้าราชการนั้นเจริญเร็ว เติบโตเร็ว ได้สวัสดิการ เกษียณไปก็ไม่มีวันใช้เงินหมด เมื่อก่อนเฟินก็เคยคิดอย่างนั้นค่ะ แต่พอได้มาทำงานในบริษัทเราพบว่า แม้ว่าจะก้าวหน้ายาก แต่อย่างน้อยๆเฟินก็เห็นว่างานของเอกชนนั้นให้บทเรียนมากมายกับเฟิน ให้เราได้เห็นถึงโลกของความเป็นจริงและไม่มีทิฐิ ได้รู้ว่างานทุกอย่างบนโลกนี้ต่างมีศักดิ์ศรีและเป็นส่วนสำคัญต่อการพัฒนาประเทศชาติบ้านเมืองทั้งสิ้น สิ่งสำคัญคือเราควรมองในมุมของการให้เกียรติกับทุกอาชีพ และทุกคนคือคนเก่ง คือส่วนสำคัญ หากเรารู้จักเคารพในการตัดสินใจและมองในหลายๆด้าน ก็จะเข้าใจอะไรๆมากขึ้น ทั้งนี้ไม่ใช่ทุกคนที่อยากเป็นข้าราชการ และการเป็นข้าราชการก็ไม่อาจเป็นสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ใช่ที่สุด สำหรับมุมมองที่ได้รับมานั้นเฟินเองไม่เอามาทำให้เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตค่ะ เมื่อเลือกทางนี้แล้วเฟินก็ต้องเดินหน้าต่อ เพราะเราเป็นคนตัดสินใจเองอย่างไม่ลังเล ถ้าเฟินทำตามคำพูดของคนอื่น สักวันหนึ่งก็คงหนีไม่พ้นกับความเสียดายที่ว่าทำไมตัวเองไม่เลือกในสิ่งที่ตัวเองคิดเลือกตั้งแต่แรก พอถึงวันหนึ่งที่เราไม่มีความสุข คนเหล่านั้นก็ไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบกับความทุกข์ของเราเลยแม้แต่น้อย ทั้งนี้เฟินอยากจะบอกว่างานเอกชนก็โตเร็วเหมือนกันค่ะ เงินเดือนของเฟินในตอนนี้อาจมากกว่าคนที่รับข้าราชการมาแล้วหลายปีด้วยซ้ำ แต่ทว่าจะมองเรื่องเงินเดือนมุมเดียวก็ไม่ถูกค่ะ สำคัญคือเรารู้ว่าเราเลือกอะไร ทำอะไร ไปเพื่ออะไร มีการวางแผนโดยไม่จำเป็นต้องบอกให้คนอื่นรู้ จงแน่วแน่กับความคิดของตัวเองก็เป็นพอค่ะ

งานสอนกับงานธุรกิจแตกต่างกันไหม

ก่อนอื่นต้องขอกล่าวถึงในส่วนงานของเฟินนะคะ เฟินทำหน้าที่เกี่ยวกับการประสานงานเป็นหลัก การจัดซื้อ งานขาย การตลาดใช้ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย เฟินว่าต่างกับการเป็นครูโดยเกือบจะสิ้นเชิงค่ะ อย่างที่หนึ่งคือเป็นครูต้องมีการเตรียมการสอนไปล่วงหน้า ทำตามแผนมีการเตรียมตัว และปรับปรุงงานตัวเองให้ดีขึ้น ได้ทำงานที่ต้องรับมอบหมายเพิ่มเติม เช่นครูบางคนอาจต้องเป็นพัสดุ บุคคล งานทะเบียน ฯลฯ แต่ในมุมมองเชิงธุรกิจที่เฟินได้รับคือ มันเป็นงานที่ค่อนข้างจะตายตัว มีโยกย้ายไปช่วยฝ่ายนั่นนี่นิดหน่อย แต่เรารับผิดชอบหน้างานเป็นพอ และเลิกงานแล้วก็คือเป็นเวลาของตัวเองค่ะ (เจ้านายไม่ให้เอางานกลับไปทำ ถ้าไม่เสร็จให้ทำต่อวันถัดไป) หลักๆ คือก็ต้องเจอของจริงในหน้างาน และปิดงานเร็ว แก้ไขสถานการณ์ตามภาวะต่างๆ ไม่มีการทำงานซ้ำไปซ้ำมา แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ทุกครั้งที่งานหนึ่งๆ จบไปแล้วก็จะต้องปรับปรุงสิ่งที่เป็นปัญหาให้ดีขึ้น เช่น เวลาราคาขึ้นกะทันหัน เราก็ต้องรู้จักการศึกษา Forecast ติดตามราคาตลาดอยู่เสมอ การตลาดมันเป็นเรื่องของคนทั้งโลกค่ะมีความผันผวนตลอดเวลา ไม่ได้เป็นงานที่แบบแผนตายตัวแต่เราต้องแอคทีฟตัวเองให้ทันกับภาวะตลาดข้างนอกด้วย เช่นในช่วงที่มีประสบปัญหาคลองสุเอช ช่วงที่แท็กซัสประสบปัญหาภัยหนาวจัด ทำให้แท็งก์การผลิตช็อตดาวนร์ ก็กระทบกับการซื้อของเข้าโรงงานและต้นทุนต่างๆ อย่างมาก ในขณะที่ยอดขายนั้นสวนทางกัน  จะขึ้นราคาสินค้าก็ไม่ได้ ในจุดนี้ก็บีบหัวใจทุกคนมากค่ะ ต้องหาทางเอาตัวรอดและผ่านไปให้ได้ ส่วนงานสอนนั้นก็เป็นงานตายตัวสอนสิ่งใดได้สิ่งใดและปรับปรุงไปเรื่อยๆ ถ้าเทียบเป็นกราฟคืองานด้านธุรกิจจะมีความไม่แน่นอน ขึ้นลงๆ ท้าทายเราตลอดเวลา แต่งานสอนจะเป็นกราฟแบบนิ่งๆ มีผันผวนตามคำสั่งของทางกระทรวงและอื่นๆ ให้เราค่อยๆปรับ

มีสิ่งที่เหมือนกันคือ การที่จะต้องใช้วาทศิลป์ การทำหน้าที่ตรงนี้บอกเลยว่า คำพูดนั้นสำคัญมาก คำพูดของเราคือตัวนำทุกอย่าง ถ้าสื่อสารไม่เป็น ไม่มีทักษะในการพูดก็คือปังปินาศค่า งานไหนก็ดีค่ะ การใช้คำพูดนั้นน่าจะสำคัญมากที่สุดและโอกาสนั้นก็มาจากการที่เรารู้จักวิธีการพูด การใช้การวางแผน คิดก่อนว่าจะพูดอย่างไรให้ฝั่งตรงข้ามมีผลลัพธ์กับมายังเรา เป็นครูถ้ามีทักษะการพูดที่ไม่ดี แน่นอนเด็กก็ไม่อยากที่จะฟัง  >///<  ทั้งนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต่างกันสิ้นเชิงเลย คือการตัดสินใจและไว้วางใจคนอื่นในการทำการตลาด เราไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร การทำความรู้จักกัน มีพรรคพวกที่ช่วยเหลือกัน แต่เราไว้ใจใครไม้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ต้องใช้สติ รอบคอบ ตัดสินใจอย่างระมัดระวัง ผิดพลาดบ่อยไม่ได้ แต่สิ่งที่เฟินมองว่าเหมือนกันคือการเป็นที่รู้จักกับคนอื่นค่ะ เรามีเครือข่าย มีเพื่อนร่วมทำธุรกิจกันเยอะ พอเอ่ยชื่อใครขึ้นมาถามว่ารู้จักคุณ… ไหม เราก็จะรู้สึกอุ่นใจว่าเรามีคนในวงการเดียวกันและเราคุยกันได้ทุกเมื่อ สอนงานกันและกันผ่านบริษัทต่างๆ ดังนั้นการทำธุรกิจโดยเฉพาะงานด้านการตลาดในฐานะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา คือเราจะโฟกัสกับตัวเอง เครียดกับตัวเอง แต่ไม่ไปลงที่งานหรือคนอื่น ทำให้เฟินรู้สึกที่อยากจะควบคุมตัวเองให้ดี ทั้งนี้เฟินก็มีความสุขที่ได้รู้จักกับนักธุรกิจหลากหลายรูปแบบ ที่มากด้วยประสบการณ์และความสามารถค่ะ

ดูเหมือนจะยุ่งยากและเครียดใช่ไหมคะการทำงานที่นี่ แต่จริงๆแล้วใครที่เป็นเพื่อนกับเฟินในเฟสจะเห็นว่าเฟินทำขนมบ่อยมาก นั่นคือเซฟโซนของเฟินเลยค่ะ เพราะวันไหนเครียดหรืองานไม่ยุ่ง ก็จะขอบอสไปทำขนมได้ไหม เพราะการทำขนมเป็นสิ่งที่ชอบของเฟิน มันก็รีแลกซ์ได้บางครั้ง 5555

เราไม่ได้จบสายงานการตลาดแล้วเรามั่นใจแค่ไหนว่าตัวเองทำได้  
บอกตรงๆ เลยค่ะว่า “เฟิน ไม่ มั่น ใจ เลย” ตอนที่มาที่นี่มาในฐานะของการทำงานล่าม มีความรู้เรื่องของการประสานงานและคุยแค่อย่างเดียว แต่เรื่องการทำธุรกิจบอกตรงๆ ว่าไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยค่ะ พอเจ้านายให้มาเรียนรู้งานตรงนี้ ก็ตกใจค่ะเพราะกลัวว่าตัวเองทำไม่ได้ แต่เฟินเอาความพยายามเข้าสู้ พยายามที่จะเรียนรู้ เชื่อฟังคนที่มีประสบการณ์ ทำตามที่เจ้านายบอกทุกอย่าง และเรียนรู้ในทุกวัน ทั้งยังต้องอ่านตำรา บทความเกี่ยวกับงานการตลาดเพื่อให้ตัวเองเข้าใจมากยิ่งขึ้น มากไปกว่านั้นคือต้องขยันถาม มีบางครั้งที่ลองผิดลองถูก มีพลาดบ้าง แต่ก็ต้องสู้ต่อไปค่ะ บอกเลยว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย และกดดัน กว่าที่เฟินจะเข้าใจงานและคุ้นชินก็ใช้เวลานานอยู่พอสมควร โชคดีที่บริษัทเรานั้นไม่ได้ใหญ่มาก การที่จะเข้าถึงเจ้านายเลยเป็นเรื่องง่าย บอสของเฟินทุกท่านเต็มใจที่จะสอนเราและคอยอบรมเราอยู่เสมอ อีกอย่างคือเราจะต้องคอยให้กำลังใจตัวเองว่าเราจะทำมันให้ได้ ทั้งนี้ต้องทำตัวเป็นน้ำที่อยู่ก้นแก้วตลอดเวลา แล้วเราจะรู้สึกว่าตัวเองนั้นตัวเล็กมากและต้องพยายามให้มาก ยังไม่รู้หนทางข้างหน้าว่าเฟินจะนำประโยชน์จากการมาเรียนรู้และทำงานไปใช้ได้ทางไหนบ้าง แต่เฟินเชื่อว่าประสบการณ์เหล่านี้นั้นมีคุณค่าและเติมเต็มชีวิตของเด็กผู้หญิงอย่างเฟินที่ไม่รู้อะไรเลยได้มากมายทีเดียวค่ะ

สายงานธุรกิจสอนให้เรารู้จักกับอะไรบ้าง
อย่างที่หนึ่งเลย สอนให้เรารู้จักคน ไม่ไว้ใจใครง่ายๆ โดยเฉพาะเรื่องการทำธุรกิจแล้วต้องสร้างความเป็นมิตรสนิทสนม และสร้างความเชื่อมั่นกับคนอื่น รักษาคำพูดและรับผิดชอบกับความผิดพลาด เฟินเรียนรู้โดยตรงกับเจ้าของธุรกิจจึงค่อนข้างจะเห็นทุกความเคลื่อนไหว ว่าจริงๆ แล้วการทำธุรกิจนั้นมีแค่เงินอย่างเดียวไม่พอ แต่จะต้องฉลาดและรู้จักการวางแผนล่วงหน้า ทันท่วงทีของกลไกการตลาด กล้าที่จะเหนื่อย กล้าที่จะทุ่มเท กล้าที่จะรู้อะไรใหม่ๆ กล้าที่จะไม่สนใจ กล้าที่จะตัดมิตรกับคนที่ไม่มีสัจจะ ยิ่งไปกว่านั้นคือ ทำให้เฟินมีความมั่นใจในตัวเอง มีความกล้าที่จะทำความรู้จักกับคนใหม่ๆ แม้เฟินจะอายุยังน้อยแต่ก็ถือได้ว่าเราก็ได้รู้จักคนมากวัยพอสมควร นอกจากนี้ยังเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าเราเป็นคนอายุน้อย จะต้องระมัดระวังตัวในการเข้าหาคนอื่น การสื่อสาร การวางตัว และที่สำคัญคือต้องระมัดระวังการเข้ามาที่ประสงค์ไม่ดีของเพศตรงข้าม คนดีมีเยอะคนไม่ดีก็มากมายค่ะ ไว้ใจใครเต็ม 100 ไม่ได้เลย
อย่างที่สองคือ มองเห็นสัจธรรม สอนให้เรารู้จักความเหลื่อมล้ำในสังคม เห็นความเป็นจริง คนที่ฉลาด ปรับตัว อยู่ให้รอดเท่านั้นคือคนที่จะสำเร็จ บางครั้งที่เฟินเห็นคนงานก็แอบคิดไม่ได้ค่ะว่า ทำไมเขาทำงานเหนื่อยมากแต่ค่าแรงได้เพียงน้อยนิด เฟินเคยเข้าใจว่าคนงานต้องออกแรง เหนื่อย ทนร้อนทนฝน แต่การที่เป็นเจ้าของเองเขาก็แบกรับอะไรมากมาย มันเลือกไม่ได้ค่ะ การที่มีสิทธิ์เพียงผู้อยู่ใต้เงินเดือนอันจำกัดเราจะเรียกร้องสิทธิอะไรไม่ได้ ถ้าเทียบกับคนที่เป็นผู้บริหารแล้วนั้น การแบกความรับผิดชอบต่างๆ นั้นก็ไม่เหมือนกันเลย เราต้องมองด้วยความเข้าใจว่าเหตุผลของความเหลื่อมล้ำคืออะไร มองได้หลายๆ มุมแต่อย่างไรก็ดีเจ้านายเฟินยังรู้สึกได้ว่าการที่มีคนงานคือต้องขอบคุณพวกเขาด้วยซ้ำเพราะเป็นแรงขับเคลื่อน เป็นฟันเฟืองของบริษัท
ประการสุดท้ายคือ สอนให้รู้จักปรับตัวอยู่ตลอดเวลา การทำธุรกิจนั้นไม่มีอะไรแน่นอนเลย แต่เราต้องรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา เครียดไปก็ไม่ได้อะไร รับมือกับสถานการณ์ให้ไหวแล้วค่อยๆ แก้ไปทีละจุด เฟินพูดเหมือนเคยเจอปัญหามาหนักมาก แต่ความจริงไม่ใช่ค่ะ เพราะจริงๆ ก็เจอมาบ้างแต่ไม่ได้หนักอะไรขนาดนั้น แต่บางครั้งก็ทำให้เราปวดหัวยิ่งตอนแรกๆ ปัญหาเล็กๆน้อยๆ เฟินก็เครียดไปหมด พอเริ่มอยู่ตัวก็เข้าใจแล้วว่าจริงๆ ปัญหามันก็คือปัญหา ปล่อยวางมันให้เป็น เครียดให้น้อยลง แล้วก็ใช้เวลากับการเดินหน้าต่อไปจะดีกว่า

มุมมองที่มีต่อคนจีนเกี่ยวกับการทำธุรกิจ
ขึ้นชื่อว่าคนจีนกับเรื่องค้าขายนั้นเป็นของคู่กัน ในสิ่งที่เฟินสัมผัสได้นั้นเฟินว่าคนจีนก็เป็นคนที่ค่อนข้างจัดเจนกับการทำธุรกิจอยู่พอสมควรเลยค่ะ คนจีนค่อนข้างฉลาดและรู้เท่าทันกับตลาดและมีมุมมองที่เรามองไม่ถึง ต้องรู้จักเก็บความลับให้เป็น ฟังมากกว่าพูด เช่นเวลาพูดกับลูกค้าต้องฟัง พูดข้อมูลของเราให้น้อยที่สุด นี่คือสิ่งที่เฟินได้รับคำแนะนำมาตลอด เหมือนบางทีสิ่งที่เราคิดว่าแบบนี้คือน่าจะดีแล้ว แต่พี่ๆ จะบอกให้เราเห็นทุกด้านเลยทั้งข้อดีข้อเสีย พอมาคิดดูมันก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ควรจะตัดสินใจอย่างนั้น เราค่อนข้างเคารพและศรัทธาในการทำงานที่นี่ แม้ว่าจะเป็นบริษัทที่เล็กมาก แต่ก็เติบโตได้เร็วมากในระดับหนึ่งเช่นกัน นอกจากนี้เขาจะค่อนข้างให้ความสำคัญกับความ “ซื่อตรง” คบค้ากันด้วยการแลกความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน รู้จักซื้อใจคู่ค้า และก็ไม่ใยดีถ้าหากถูกคนเหล่านั้นคิดไม่ซื่อ โกง ฯลฯ การทำธุรกิจนั้นต้องมีคุณธรรม นอกจากนี้คนจีนที่นี่ยังทำให้เฟินรู้สึกได้ถึงความใส่ใจต่อเพื่อนร่วมงานและลูกน้อง เจ้านายที่นี่รู้สึกได้ว่าคนๆหนึ่งสามารถมองออกว่าใครเป็นอย่างไร การทำงานจริงๆ เข้มงวดมาก แต่เลิกงานแล้วก็สบายๆ เฮฮากันได้ปกติ แล้วก็คนจีนไม่ชอบคนเอาใจคนพูดปะเหลาะ ชอบคนที่ทำงานให้เห็นเชิงประจักษ์มากกว่าการเอาใจ จะชื่นชมคนที่ขยันพัฒนาตัวเอง ในขณะที่คนที่ไม่เปิดใจ ไม่พัฒนาก็จะเรียกมาปรับทัศนคติ และให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเข้าใจ แล้วจบในตอนนั้นเลยไม่ค้างคาใจกัน

 

ทิ้งท้าย
  การที่เฟินแชร์เรื่องราวมาทั้งหมดนี้เฟินก็ไม่ได้จัดเจนอะไรขนาดนั้นค่ะ แต่ว่าอยากแบ่งปันเล่าสู่กันฟังเพื่อแลกเปลี่ยนในสิ่งที่ได้เจอมา หนทางนี้เป็นแค่จุดที่เริ่มต้นเล็กๆ ยังมีโลกให้เราเผชิญอีกมากมาย สิ่งที่เฟินเลือกในวันนี้อาจไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่มันคือสิ่งที่เหมาะสมที่สุดกับเฟินสำหรับช่วงเวลาและโอกาสในตอนนี้ เฟินเชื่อว่าทุกอย่างไม่มีอะไรสวยหรูเสมอไป สิ่งที่เฟินเล่าไปนั้นอาจเป็นมุมบางมุม แต่ไม่ใช่ทั้งหมดทั้งสิ้น อย่างไรก็ดีค่ะ อย่างน้อยๆ เราก็ได้ค้นพบศักยภาพใหม่ๆ ของตัวเอง ถ้าเราไม่ลองเราก็จะไม่มีทางรู้และไม่ได้รับประสบการณ์ที่ดีๆ ซึ่งทุกอย่างล้วนควรค่ากับการได้ใช้เวลาเรียนรู้กับจุดนั้นๆ ต้องลองเปิดใจ เปิดรับ ไม่ปิดกั้น และพยายามกับมัน ไม่มีอะไรในโลกใบนี้ที่ยากสำหรับคนที่ปรับตัวเป็น มีความอดทน มีแนวคิดและลงมือทำ บางครั้งการใช้เวลาการค้นหาตัวเองนั้นอาจต้องใช้เวลา เราต้องลองให้ถึงที่สุดแล้วจะรู้ได้ว่าอะไรที่เหมาะกับเราจริงๆ เข้าใจตัวเองให้มากที่สุด ฟังกระจกรอบตัวเราบ้าง แต่เราต้องตัดสินใจเอง สุดท้ายนี้ก็อยากเป็นกำลังใจให้ทุกคน ทุกอาชีพได้เต็มที่และภูมิใจกับสิ่งที่ทำ ไม่มีกำลังใจไหนสำคัญไปกว่ากำลังใจที่ให้ตัวเอง ไม่มีคุณค่าใด ยิ่งใหญ่ไปกว่าการให้คุณค่าของตัวเอง ในโอกาสครบรอบ 1 ปีก็ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตาม และรับชมผลงานของพวกเรานะคะ ขอให้ทุกคนเติบโตอย่างงดงามไปด้วยกัน กับ 泰中文 5th.ltd เว็บไซต์ที่เป็นมากกว่าแหล่งเรียนรู้แต่ยังเป็นแหล่งแรงบันดาลใจที่ทำให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย พบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีค่า ^^

© 版权声明
THE END
喜欢就支持一下吧
点赞3 分享
Reply 抢沙发
图片正在生成中,请稍后...